บทที่ 3
คุณค่าและความหมายของศาสนา
“ทำไมต้องมีศาสนา?”
แต่ละศาสนาต่างมีแนวคิดพื้นฐานว่า มนุษย์มีเป้าหมายชีวิต คือ ความรอดพ้นที่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (นิรันดร) ได้ พื้นฐานของแต่ละศาสนาจึงอยู่ที่ “ความเชื่อศรัทธา” ในรูปแบบของการเชื่อในพระเจ้า เชื่อในการเผยแสดงของพระองค์ผ่านทางพระคัมภีร์ บุคคลที่พระเจ้าส่งมาช่วยมนุษย์ หรือความเชื่อในตัวบุคคลว่าท่านนั้นว่าเป็น “ของจริง” (Real person) สามารถบรรลุถึงเป้าหมายชีวิต (ความหลุดพ้น/ความรอดพ้น) ได้อย่างแท้จริง กำเนิดของแต่ละศาสนาเริ่มต้นที่ตำนานของศาสนา ช่วงแรกยังไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นการถ่ายทอดด้วยวาจา ผ่านทางผู้รู้ ต่อมามีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร พัฒนาการเป็น “พระคัมภีร์” ซึ่งศาสนิกชนของแต่ละศาสนาเชื่อว่า “เป็นพระวจนะของพระเจ้า” หรือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับชีวิตและคำสอนของศาสดาในศาสนานั้นๆ จากนั้นจึงค่อยพัฒนาสู่การเป็นสถาบันที่มีระบบ ระเบียบและวิธีปฏิบัติเพื่อการบรรลุถึงความรอดพ้น ตามแนวทางของแต่ละศาสนา ซึ่งมีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง
1. บริบทเกี่ยวกับกำเนิดศาสนา : มนุษย์กับปัญหาเชิงอภิปรัชญาและปรัชญาแนววิญญาณนิยม (Animism)
1.1 มนุษย์กับปัญหาเชิงอภิปรัชญากับปรัชญาแนววิญญาณนิยม
1.1.1 มนุษย์มีประสบการณ์กับสิ่งที่มีอยู่ (Being) ภายนอก/ภายในตัวมนุษย์เอง (สิ่งต่างๆ ตามปรากฎการณ์ธรรมชาติ) มนุษย์เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมรอบตัว (สมัคร บุราวาศ, 2544) มนุษย์สงสัย ตั้งคำถามว่า “สิ่งนั้น สิ่งนี้ที่อยู่รอบตัว มันคืออะไร?” หลายๆ สิ่งมนุษย์รู้สึกว่าเป็นความลึกลับ บ้างก็เป็นรหัสธรรม และมีความรู้สึกมืดแปดด้าน ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ มีลักษณะดังนี้
ก. ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้านั้น มีทั้งส่วนที่ทำให้มนุษย์ได้รับผลดีและผลร้าย
ข. มนุษย์ควบคุมสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่าง ที่มนุษย์พบว่ายิ่งใหญ่กว่าตนเอง
ค. มนุษย์เกิดภาวะความกลัว กังวลใจ ไม่มีความสุข
1.1.2 มนุษย์พยายามคิด (ใช้สติปัญญา) หาคำตอบเท่าที่จะหาได้ ในช่วงแรก ๆ มนุษย์มีแนวโน้มที่คิดว่าโลกและสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ตายตัว แต่มีความเป็นไปได้ว่า (Gaarder, n.y.)
ก. ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นตามที่เทพเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติบัญชา ตามความพอใจของเทพเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติ (เช่น ในดินแดนกรีกโบราณ มีตำนานเกี่ยวกับเทพซุส)
ข. ถ้ามนุษย์อยากอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องเดือดร้อนจากปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลร้าย/ภัยต่อตัวมนุษย์ๆ จึงต้องหาวิธีเอาใจเทพเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติ จึงปรากฎร่องรอยของการบูชายัญ/ การถวายบูชา/พิธีกรรม ฯลฯ มีวิวัฒนาการเรื่องการเอาใจเทพเจ้าอย่างต่อเนื่อง
1) ผลที่ตามมา คือ มนุษย์ได้ผ่อนคลาย มีคำตอบ พอหาวิธีการอยู่อย่างสงบ (ใจ) ได้บ้าง
2) คำตอบดังกล่าว ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน
3) ข้อสังเกต คือ น่ายกย่องมนุษย์คน/กลุ่มแรก ที่คิดและหาคำตอบให้ มนุษย์คน/กลุ่มแรก ที่คิด/ให้คำตอบดังกล่าวควรได้รับการยกย่องอย่างสูง เพราะถ้าไม่มีคำตอบดังกล่าว มนุษย์โบราณคงจะมีความเครียดสูง เนื่องจากมีแต่ปัญหา/สงสัย แต่ไม่มีคำตอบที่ทำให้สบายใจ
1.1.3 ต่อมา มีวิวัฒนาการ/การจัดระบบการอธิบาย รวมถึงพัฒนาการเรื่อง วิธีการที่จะเอาใจเทพเจ้า มีลักษณะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ มีบุคคลเฉพาะ ผู้รู้ ปราชญ์ คุรุ ที่อธิบายและถ่ายทอดเรื่องราวให้กับมนุษย์ในสังคมรุ่นต่อๆ มา มีการบันทึกเป็นเรื่องราวและเชื่อว่าได้รับมาจากเทพเจ้า
1.1.4 เราเรียกแนวคิดในช่วงแรกนี้ได้ว่า “วิญญาณนิยม” (Animism) หรือ “ยุคปัญญาเชิงศาสนา” (สมัคร บุราวาศ, 2544)
1.2 ข้อสังเกต
1.2.1 มีพัฒนาการทางความคิด/นำสู่การมีความเชื่อพื้นฐานสองด้าน คือ
ก. ด้านเชิงสร้างสรรค์ นำสู่การมีความเชื่อแบบเน้นปัญญา และ
ความเข้าใจต่อคำตอบที่ได้ (พัฒนาสู่การเป็นศาสนา)
ข. ด้านเชิงงมงาย นำสู่การมีความเชื่อแบบตาบอด (ไสยศาสตร์)
ด้านเชิงสร้างสรรค์ พัฒนาสู่การเป็น “ศาสนา” “ปรัชญา” และ “เทววิทยา” และวิทยาการต่างๆ ด้านเชิงงมงาย จะค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา หรือมีสิ่งอื่นมาแทนที่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบตามกระแสค่านิยม
1.2.2 กำเนิดความคิดดังกล่าวข้างต้น มีลักษณะคล้ายกันด้านเนื้อหาสาระ (ปัญหาเชิงอภิปรัชญา) ทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก แต่มี “รายละเอียด” อาจต่างกัน (เช่น ชื่อเรียก พิธีกรรม เป็นต้น)
2. การอธิบายความจริงทางศาสนา
พัฒนาการอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา เปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมของมนุษยชาติ มีแนวโน้มให้ความไว้วางใจในวิทยาศาสตร์ ทำให้คุณค่าของวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดกระแสวัตถุนิยม (บริโภคนิยม) นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการหลายๆ แขนง หรือแม้แต่นักปรัชญาที่คุ้นเคย ไว้ใจต่อวิธีการและความจริงของวิทยาศาสตร์ มีความรู้อย่างละเอียดในด้านนี้ แต่อาจจะมีความรู้น้อยเกี่ยวกับความจริงในศาสนา ซึ่งทำให้เกิดช่องว่าง หรือขาดความสมดุลระหว่างความรู้สองประเภทดังกล่าว ประเภทหนึ่งมีเหตุ มีผล อีกประเภทหนึ่งมีแต่ความเชื่อที่ขาดรากฐานลึกๆ จากนั้นมีแนวโน้มว่าจะไว้ใจวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา (ยัง ดังโตแนล, 2551) ถือว่าวิทยาศาสตร์มาแทนศาสนา และความเชื่อถึงพระเจ้า เป็นทัศนคติ โบราณล้าสมัยแล้วในสังคม
2.1 ความจริงทางศาสนาตามมุมมองของนักสังคมศาสตร์ : กำเนิดศาสนาตามแนวทฤษฏีทางสังคมศาสตร์โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ศาสนามีสถานะเป็นสถาบันหนึ่งในสังคม มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตมนุษย์ นักสังคมศาสตร์จึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในการอธิบายศาสนา เริ่มต้นจากการตั้งคำถามว่า “ศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างไร?” โดยใช้กรอบของสังคมศาสตร์ (วิธีการทางวิทยาศาสตร์) ด้วยการพิจารณาเฉพาะสิ่งที่มีร่องรอยที่พิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส จึงตัดสิ่งที่เป็นความเชื่อและตำนานทางศาสนาออกไป และตอบโดยสรุปเป็นสามทฤษฏีที่สำคัญ ได้แก่
ก. ทฤษฎีความกลัวภัย
มีแนวคิดว่าศาสนาเกิดจากสัญชาติญาณกลัวภัยธรรมชาติ เนื่องจากมนุษย์มีสัญชาติญาณการหาวิธีเอาชีวิตรอด แต่เนื่องจากมนุษย์มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อกลัวก็เกิดความทุกข์ หาวิธีดับทุกข์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และค่อย ๆ พัฒนาเป็นศาสนาขึ้นตามลำดับ ศาสนาจึงเป็นแนวทางเพื่อปลอบประโลมจิตใจมนุษย์ให้พ้นจากความหวาดกลัวภายในจิตใจ (มนุษย์ - ภัยธรรมชาติ - ทุกข์ (กาย) - กลัว - ทุกข์ใจ - หาคำตอบ - ศาสนา)
ข. ทฤษฏีความไม่รู้
มีแนวคิดว่าศาสนาเกิดจากความไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ที่ทำให้จิตใจมนุษย์วุ่นวาย สับสน จึงจำเป็นต้องหาคำตอบและไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี จึงสร้าง “ภาพ” หรือคำตอบบางอย่างที่ทั้งอธิบายได้และอธิบายไม่ได้ (ด้วยหลักการที่สมเหตุสมผล) และค่อย ๆ พัฒนาเป็นศาสนาตามลำดับ
ค. ทฤษฏีการชดเชยทางจิตวิทยา
มีแนวคิดว่า แต่เดิมมนุษย์อยู่ท่ามกลางภัยอันตราย โดดเดี่ยว อ้างว้าง ส่งผลให้ถูกบีบคั้นด้านจิตใจ จึงจำเป็นต้องหา “อะไรบางอย่าง” มาชดเชยความอ้างว้างในจิตใจ ศาสนาเป็นเครื่องปลอบใจของมนุษย์ที่มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
2.2 ตัวอย่างการอธิบายความจริงทางศาสนาตามมุมมองของนักปรัชญาที่ลดทอนคุณค่าของศาสนา
ยัง ดังโตแนล (2551) ได้อธิบายความจริงทางศาสนา ตามแนวคิดของปรัชญา มีความคิดว่านักปรัชญาไม่ต้องการอธิบายว่า ศาสนาได้เกิดมาอย่างไรในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แม้ว่านักวิชาการสาขาวิชามนุษยวิทยาและสังคมศาสตร์สังเกตว่า สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ คือพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับธรรมชาติ หรือเกี่ยวกับผู้ตายซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่า ศาสนาเป็นคุณลักษณะประจำของมนุษย์ตั้งแต่ต้น แต่ในแง่มุมของปรัชญา จะสนใจพิจารณาว่าทำไมต้องมีศาสนา มีอะไรบ้างที่จะเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์คิดว่าต้องมีพระเจ้า หรือเทวดา หรือผี ที่อยู่สูงกว่ามนุษย์ เหนือธรรมชาติ ทำไมมนุษย์เกิดความรู้สึกว่าต้องเคารพบูชาเทพเจ้าเหล่านั้น
นักปรัชญาบางท่านในสมัยปัจจุบัน มีทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุของศาสนาที่มีแนวโน้มในแบบอเทวนิยม กล่าวคือ ในสมัยโบราณ มนุษย์มีความคิดว่า ต้องมีเทพเจ้าเป็นผู้ควบคุมธรรมชาติและชีวิตมนุษย์ (แนวคิดวิญญาณนิยม/Animism) แต่สมัยปัจจุบันได้มีพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ ที่อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีพระเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติมาเป็นคำตอบของสิ่งต่างๆ มนุษย์สามารถที่จะควบคุมธรรมชาติด้วยตนเอง โดยเฉพาะนักปรัชญาแนวปฏิฐานนิยม (Positivism) และนักปรัชญาแนวคิดอื่นๆ ที่ยกย่องคุณภาพและประสิทธิภาพของวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน ดังเช่น
2.2.1 โอกุส กองต์ (Auguste Comte) : ศาสนา คือ อวิชชา/จินตนาการ
โอกุส กองต์ (ค.ศ. 1798 – 1857) เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งลัทธิปฏิฐานนิยม” มีความสนใจวิทยาศาสตร์มาก คิดว่าหลักยึดเหนี่ยวของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ไม่มีอะไรดีเท่าวิทยาศาสตร์ เพราะทุกคนยกย่อง เทิดทูนและเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ จึงควรใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นหลักยึดเหนี่ยวของมนุษย์ แม้วิทยาศาสตร์ไม่อาจพิสูจน์ถึงความจริงได้ทั้งหมด แต่ก็รับรองได้ว่าให้ประโยชน์และน่ายึดถือที่สุด (กีรติ บุญเจือ. 2522: 162) กองต์ได้เสนอทฤษฎี 3 ยุค ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ (ยัง ดังโตแนล, 2551)
ก. ยุคแรก คือ ยุคของศาสนา
มนุษย์เผชิญหน้ากับปรากฎการณ์ธรรมชาติ คิด สงสัยและพยายามตอบปัญหาเกี่ยวกับปรากฎการณ์ดังกล่าว อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งในธรรมชาติหรือในชีวิตของตนว่า ช่วงแรกมนุษย์คิดว่าทุกสิ่งไม่มีหลักการที่แน่นอน แต่ขึ้นกับ “ผู้มีอำนาจ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์/เหนือธรรมชาติ” ทุกสิ่งเป็นไปตามความพอใจของเทพเจ้า ปรากฎการณ์ต่างๆ มีเทพเจ้า/สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นต้นเหตุ เทพเจ้าทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือลง ทำให้ฝนตกหรือลมพัด ทำให้มีแม่น้ำไหล และทำให้ต้นไม้บังเกิดผล ชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน โชคชะตา ความสุข ความทุกข์ของแต่ละคนอยู่ในความดูแลของพระเจ้า/เทพเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์เกิด เป็นโรค หรือตาย เมื่อมนุษย์ได้ใช้ความคิดตามเหตุตามผล ยุคที่สองก็มาถึง
ข. ยุคที่สอง คือ ยุคของปรัชญา
มนุษย์เริ่มใช้สติปัญญา คิดตามหลักเหตุ-ผลเพื่ออธิบายความจริงของปรากฎการณ์ คิดว่าทุกสิ่งดำเนินไปตาม “หลักการ/กฎธรรมชาติ” ถ้ารู้หลักการดังกล่าว มนุษย์จะอธิบายปรากฎการณ์นั้นได้ มีการพูดถึงหลักสำคัญๆ ของปรัชญา เช่น สารัตถะและอัตถิภาวะ (Essence and Existence) ภาวะจริงและภาวะแฝง (Act and Potency) สาระและคุณา (Substance and Accident) สสารและรูปแบบ (Matter and Form) เป็นต้น ซึ่งสามารถให้เหตุผลสำหรับการอธิบายความเป็นจริงและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอีกแล้ว จากยุคสอง เข้าสู่ยุคที่สาม คือยุคปัจจบัน
ค. ยุคที่สาม คือ ยุควิทยาศาสตร์
ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ที่สามารถให้หลักการที่แน่นอน และให้ความรู้สากลในการอธิบายสิ่งต่างๆ ทำให้มนุษย์คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้หลักการทางศาสนาหรือปรัชญาในการอธิบายความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ อีกต่อไป เพราะมีวิทยาศาสตร์ที่ใช้การสังเกต การทดลองและการพิสูจน์ วิธีการของวิทยาศาสตร์นี้แน่นอนกว่าศาสนาหรือปรัชญา เพราะว่าไม่เป็นจินตนาการ ไม่เป็นนามธรรมแล้ว แต่มีลักษณะที่ตรงกับประสบการณ์ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้เพื่อจะทำให้เกิดผลต่อชีวิตประจำวัน วิทยาศาสตร์แสดงถึงความสามารถและประสิทธิภาพของมนุษย์ มนุษย์เริ่มควบคุมธรรมชาติโดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้าแล้ว ยุคที่สามนี้คือความสมบูรณ์ของมนุษย์ เป็นการขับไล่ทั้งศาสนาและปรัชญา (อภิปรัชญา) โดยใช้วิทยาศาสตร์มาแทนที่ เพื่ออธิบายความจริง
ดังนั้น ตามแนวคิดของโอกุส กองต์ ศาสนาเกิดขึ้นเพราะอวิชาของมนุษย์ เป็นผลจากจินตนาการ ของผู้ที่ยังขาดความรู้ เมื่อวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นแล้ว มนุษย์ก็มีความรู้แท้ และทิ้งจินตนาการจากศาสนานี้ไปเลย
2.2.2 ลุดวิค ฟ็อยเออร์บัค (Ludwig Andreas Feuerbach) : ศาสนาเป็น “การแสดงออกของสติปัญญามนุษย์”
ลุดวิค ฟ็อยเออร์บัค (ค.ศ. 1804 – 1872) นักปรัชญาชาวเยอรมัน แนวคิดจัดอยู่ในกลุ่มสสารนิยมแบบปฏิพัฒนาการ (Dialectical materialism) ได้เสนอแนวคิดว่า มนุษย์ต้องอาศัยธรรมชาติเพื่อจะดำเนินชีวิตได้ สำหรับความเป็นทางกายภาพ มนุษย์จำเป็นต้องกินอาหาร แต่งกาย หรือหาที่อยู่อาศัย มนุษย์ต้องใช้พืช สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาติ แต่เนื่องจากมนุษย์มีลักษณะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป (Feuerbach cited in William, 1976) มนุษย์มีสติปัญญาที่สงสัยและคิดว่าสภาพตามธรรมชาติรอบตัว มีความไม่แน่นอน มนุษย์รู้สึกกลัว และคิดว่าตนเองอ่อนแอ ไม่มีความสามารถอะไรเลย เพื่อจะมีข้าวกินต้องมีน้ำ ถ้าหากว่าอากาศแห้งแล้ง จะไม่มีข้าว ดังนั้น มนุษย์จึงใช้สติปัญญาเพื่อแก้ปัญหาความกังวลใจดังกล่าว สร้างมโนภาพ/ความฝัน ว่ามี “ภาวะเหนือธรรมชาติ” (พระเจ้า/สิ่งเหนือธรรมชาติ) ที่มีอำนาจ เป็นผู้บังคับธรรมชาติ และมนุษย์เริ่มสวดภาวนา ถวายบูชาแด่พระเจ้า เพื่อจะขอให้พระองค์ทำสิ่งที่มนุษย์อยากทำแต่ทำไม่ได้ นี่คือเหตุผลของการมีศาสนา ศาสนาเป็นโครงการที่ตอบสนองธรรมชาติมนุษย์ “ศาสนาเป็นความฝัน (The dream) หรือการแสดงออก (Projection) ของสติปัญญามนุษย์” (Feuerbach, 1976: 38)
ฟ็อยเออร์บัค คิดว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของมนุษย์ ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ต้องอาศัยอำนาจของพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดนี้ มนุษย์จะอยู่ในสภาพกลัว ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตน เพื่อจะเป็นนายเหนือธรรมชาติ เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องทิ้งศาสนาที่ทำให้เราเป็นทาส ต้องเข้าใจว่าอำนาจหรือคุณภาพต่างๆ ที่เราได้คิดว่าเป็นของพระเจ้านั้น ที่จริงเป็นคุณภาพของมนุษย์ เราควรจะพัฒนาคุณภาพต่างๆ นี้เพื่อจะทำให้เราเป็นนายเหนือตนเอง และเหนือธรรมชาติ
2.3 การรู้ความจริงในศาสนา : ทัศนะเชิงปรัชญา (ญาณวิทยา)
จากแนวคิดของบรรดาสังคมศาสตร์และนักปรัชญาบางท่าน ที่เสนอความคิดว่า ศาสนาเป็นท่าทีที่ล้าสมัยแล้ว เป็นโลกทัศน์ของผู้ที่ยังเป็นเด็ก ขาดความรู้ ขาดความสามารถ หรือเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการความรู้ของมนุษย์ ที่มีจุดสูงสุดอยู่ที่วิทยาศาสตร์ ศาสนาได้เกิดขึ้นเพราะว่ามนุษย์ขาดความรู้และอำนาจ ศาสนาก่อกำเนิดจากความกลัว หรือการชดเชยทางจิตวิทยา เพื่อนำมาตอบปัญหาที่มนุษย์ตอบไม่ได้ แต่ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ให้ความรู้และอำนาจ มนุษย์จึงทิ้งศาสนา อีกไม่นานศาสนาจะหมดสิ้นไป เพราะศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้ากันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ มีหลายแนวคิดที่จะใช้ข้อสรุปหรือข้อพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ เพื่อจะปฏิเสธพระเจ้า หรือแสดงว่าศาสนาคือ ความเชื่องมงายที่จะเข้ากับวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย
2.3.1 การวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความจริงของศาสนากับวิทยาศาสตร์
แม้ว่าเนื้อหาของศาสนา และวิทยาศาสตร์แตกต่างกันมาก ทั้งสองอยู่ต่างระดับ และดูเหมือนไม่น่าจะมีการกระทบต่อกันและกัน แต่ถ้าหากว่าเราจะพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็เห็นว่าแนวคิดของนักสังคมศาสตร์และนักปรัชญาบางท่านที่นำวิธีการวิทยาศาสตร์มาอธิบาย และมีแนวโน้มที่จะต่อต้านศาสนา ตามรูปแบบการอธิบายกำเนิดศาสนาตามแนวนักสังคมศาสตร์ และตามแนวคิดปรัชญา โดยเฉพาะแนวปฏิฐานนิยม และแนวสสารนิยม ที่ใช้วิธีการ/ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อจะอธิบายความจริงทางศาสนา และมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธพระเจ้า แน่นอนประสิทธิภาพของวิทยาศาสตร์ ทั้งในการอธิบายให้เหตุผล ในด้านปฏิบัติและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพิ่มความสำคัญ และน้ำหนักในโลกทัศน์ของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน แต่ทำไมบางคนสรุปว่าความจริงทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาแนวเทวนิยม เป็นเพียงแค่จินตนาการหรือภาพหลอกตา ในเรื่องนี้ ยัง ดังโตแนล (2551) ได้นำเสนอแนวทางสามประการ เพื่อช่วยให้คำตอบบ้าง
ก. อัตลักษณ์ของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
เมื่อวิทยาศาสตร์ตั้งคำถาม สังเกต ค้นคว้าและอธิบายปรากฏการณ์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของจักรวาลหรือชีววิทยา จำเป็นต้องอยู่ภายในวงของสิ่งที่สัมผัสและทดลองได้ ความจริงทางศาสนา (โดยเฉพาะพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด) มีลักษณะอยู่นอกเหนือธรรมชาติ ที่พิสูจน์ไม่ได้ในระดับประสาทสัมผัส จึงอยู่นอกเหนือวิธีการของวิทยาศาสตร์ด้วย แพทย์ที่กำลังพิจารณารักษาคนป่วย จำเป็นต้องหาเหตุผลของโรคในระบบโครงสร้างของร่างกาย ถ้าจะบอกว่าโรคมาจากเทพเจ้าหรือเป็นผีที่ทำให้เกิดขึ้น แพทย์คงออกจากวิธีการของวิชาแพทยศาสตร์ เช่นเดียวกัน ผู้ที่พยากรณ์อากาศต้องหาเหตุผลของพายุที่เกิดขึ้นในกฎของธรรมชาติเอง โดยไม่ต้องอ้างถึงพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่วิธีการนี้ไม่ได้แสดงหรือพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเจ้า สิ่งเดียวที่ปรากฏนี้คือ การมีอยู่ของพระเจ้า (ความจริงทางศาสนาแนวเทวนิยม) อยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ไม่ควรจะใช้ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อจะยืนยันหรือปฏิเสธสิ่งที่อยู่นอกบริบทของมัน
ข. ลักษณะและพัฒนาการของการรู้ความจริงตามแนวตะวันตก
แนวความคิดของชาวยุโรปตะวันตก เป็นไปตามรูปแบบของเหตุผลนิยม ในด้านความรู้ ชาวยุโรปต้องการความเข้าใจ สามารถให้เหตุผล หรือพบข้อพิสูจน์สำหรับทุกอย่างได้ ความจริงในศาสนาก็เช่นเดียวกัน นักปรัชญาส่วนใหญ่ได้พยายามหาเหตุผล หรือพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด เมื่อได้เจอประสิทธิภาพของวิธีการต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ในการให้เหตุผล และข้อพิสูจน์แล้ว ได้มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีเดียวกัน เพื่อจะพิสูจน์พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดได้ แต่เมื่อสังเกตว่าวิธีนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ว คงจะปล่อยให้ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อแต่อย่างเดียว คือ เรื่องของความรู้สึกส่วนตัว ถ้าหากว่าพระเจ้าและความจริงของศาสนาเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ไม่ได้แล้วด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นักปรัชญาตะวันตกที่สำคัญท่านหนึ่ง คือ อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant, ค.ศ. 1724 – 1804) ได้เสนอความคิดเรื่องการวิเคราะห์ความรู้ของมนุษย์ ทำให้เกิดแนวโน้มต่อนักปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา) ว่าความจริงที่ไม่อ้างอิงอยู่บนเหตุผล เป็นสิ่งที่ไร้สาระ สิ่งที่เป็นความจริงคือ สิ่งที่มีเหตุผลแต่อย่างเดียว และเนื่องจากว่าการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ สามารถให้เหตุผลสำหรับหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นข้อลึกลับในสมัยก่อน หลายคนคิดว่าขอบเขตของความเชื่อหรือศาสนานั้น แคบลงมากขึ้นทุกวัน เริ่มมีการยืนยันว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายทุกสิ่งได้ ถ้ามนุษย์ใช้ศาสนา เพื่อจะอธิบายสิ่งที่ไม่มีเหตุผล วันหนึ่งจะมาถึงแล้ว ที่เราจะไม่ต้องการพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดอีกต่อไป เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุผลอย่างชัดแจ้ง สำหรับผู้ที่มีแนวคิดเหตุผลนิยมแบบนี้ ศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว จะต้องสลายไป และวิทยาศาสตร์จะต้องขึ้นมาแทนที่
ค. การวิเคราะห์ความจริงในศาสนา
ผู้อยู่ในบริบทของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาแนวเทวนิยม อาจพิจารณาความจริงในศาสนา (พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด) ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงในศาสนา หลายครั้งแสดงออกในรูปแบบที่เป็นการชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์ หลายคนยอมรับวิธีการและผลของวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อจะพบปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ ก็จะบอกว่าเหตุผลหรือการตอบ คือ พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด เช่น เรื่องจุดเริ่มของมนุษยชาติ คงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยทั่วไป แต่เมื่อจะพบปัญหาเรื่องการต่อเนื่องจากสัตว์ถึงมนุษย์ จะเห็นว่าวิทยาศาสตร์ยังมีปัญหาในการหาข้อมูลพอที่จะยืนยันว่า มนุษย์มาจากสัตว์ หลายคนคงจะบอกว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากสัตว์ แต่มาจากพระเจ้า คือ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์โดยตรง เป็นต้น
ความคิดแบบนี้คงจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด คือ ทำให้ความจริงทางศาสนา (พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด) เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งภายในกระบวนการของธรรมชาติ ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จะรับไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทางที่พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดจะเป็นปรากฏการณ์เหมือนปรากฏการณ์อื่นๆ ของธรรมชาติที่สังเกตหรือสัมผัสได้ พระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดคงเป็นสาเหตุสร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่เป็นสาเหตุที่อยู่นอกกระบวนการของธรรมชาติ ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์จะพบพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดในการสังเกต วิเคราะห์หรือทดลองปรากฏการณ์ทางกายภาพ เช่นเดียวกัน วิธีพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด ที่อยากแสดงว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างโลกจักรวาล เป็นข้อพิสูจน์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับ
เราอาจจะเปรียบเทียบโลกจักรวาลที่ซับซ้อนมาก และมีระเบียบกับเครื่องจักร นาฬิกา หรือบ้านใหญ่โตและสวยงาม เครื่องจักร นาฬิกา หรือบ้านนั้น ต้องมีมนุษย์วางแผนและสร้างไว้ให้เป็นแบบนี้ เช่นเดียวกัน โลกจักรวาลต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งวางแผน และสร้างไว้ ผู้นี้แหละคือพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด นักปรัชญาหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ว่า ไม่เพียงพอและใช้ได้ยาก ข้อพิสูจน์นี้ทำให้คิดว่าต้องมีปฐมเหตุของโลกก็จริง แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าปฐมเหตุนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากสาเหตุอื่นๆ ทางกายภาพ ยังไม่มีอะไรที่แสดงว่าผู้ที่เป็นปฐมเหตุนั้นเป็นผู้เดียวกับพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุดที่ศาสนาเคารพนับถือ มีวิธีใช้การพิสูจน์แบบนี้ที่ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของวิทยาศาสตร์ และมนุษย์ที่มีเหตุผลเพียงแค่นี้ เพื่อจะเชื่อถึงพระเจ้า/ความเป็นจริงสูงสุด คงได้รับการกระทบมากจากการก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ข้อพิสูจน์ตามเหตุตามผลแบบนี้อาจจะมีประโยชน์น้อยทีเดียว และยังไม่เพียงพอเพื่อจะสร้างพื้นฐานที่แน่นอนสำหรับความเชื่อถึงพระเจ้า
ข้อสังเกตทั้งสามประการนี้ แสดงว่าความจริงของวิทยาศาสตร์และศาสนา ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ตราบใดที่จะอยู่ภายในวิธีการและขอบเขตของวิทยาศาสตร์ คงไม่มีทางที่จะพบ พระเจ้าหรือความจริงของศาสนา พระเจ้าหรือความเป็นจริงสูงสุดที่มีความสำคัญในชีวิตมนุษย์ และทำให้ชีวิตนั้นมีความหมาย มีลักษณะเป็นอุตรภาพ (Transcendent) กล่าวคือ อยู่นอกเหนือขอบเขตของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่จะสัมผัสได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และเพื่อจะมุ่งไปถึงระดับของอุตรภาพนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิธีของวิทยาศาสตร์
2.3.2 ความเป็นไปได้และที่มาของความรู้
เพื่อการอธิบายความจริงทางศาสนาและวิทยาศาสตร์จะได้ไม่สับสน และนอกขอบเขต บริบทตามอัตลักษณ์ของแต่ละศาสตร์ จึงควรเริ่มต้นด้วยการพิจารณาความเป็นไปได้และที่มาของความรู้
ในประวัติศาสตร์แนวคิดเชิงปรัชญาตะวันตกและตะวันออก มีการศึกษาและยืนยันถึงความเป็นไปได้ของความรู้ (Positive epistemic view) และมีแนวโน้มที่จะสรุปที่มาของความรู้ (Williamson, 1976: 71-81) เป็นสี่ประเภท คือ
ก. ความรู้อาศัยเหตุผล (เหตุผลนิยม/Rationalism) ได้แก่ ทัศนะที่เสนอว่า ที่มาและการพิสูจน์ความจริงด้วยการใช้เหตุผลตามหลักตรรกวิทยา หรือ ขบวนการของการสรุปที่สมเหตุสมผลจากสิ่งที่ชัดเจนในหลักการ ความรู้จึงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือ/มาก่อน/ไม่ขึ้นกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (A priori)
ข. ความรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (ประจักษ์นิยม/Empiricism) ได้แก่ ทัศนะที่เสนอว่า ที่มาและการพิสูจน์ความจริงด้วยการใช้ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ความรู้จึงเป็นสิ่งที่มาจาก/หลัง/ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ (A Posteriori)
ค. ความรู้จากการหยั่งรู้ (Intuitionism) ได้แก่ ทัศนะที่เสนอว่าที่มาของความรู้คือ การสำนึกรู้ภายในจิตสำนึก (Consciousness) ซึ่งเป็นวิถีเฉพาะของแต่ละบุคคล (ขึ้นกับ Feeling และ Insight)
ง. ความรู้จากการบอกกล่าวของผู้/สิ่งที่เชื่อถือได้ (Authoritarianism) ได้แก่ ทัศนะที่เสนอว่าที่มาของความรู้คือ คำพูดและการบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้ (ผู้รู้แจ้ง) หรือคำสอนที่จาริกในสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง
2.3.3 ความจริงและทฤษฏีความจริง
แม้ว่ายังไม่มีมติสากล เด็ดขาด เกี่ยวกับทฤษฏีความรู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่มีแนวโน้มว่าความรู้เป็นไปได้ ด้วยการพิจารณาธรรมชาติของความจริงและการใช้มาตรการตัดสินความจริงที่สอดคล้องกับธรรมชาติของความจริง ซึ่งแบ่งออกเป็น (Williamson, 1976)
ก. ความจริงตาม “ข้อเท็จจริง” กล่าวคือ การพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นจริงและสามารถรับรู้และพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
ข. ความจริงตาม “หลักเหตุ-ผล” กล่าวคือ การพิจารณาความจริงที่สมเหตุสมผลตามระบบและพิสูจน์ได้ตามหลักของตรรกวิทยา
ค. ความจริงเพื่อการนำไปใช้ กล่าวคือ การพิจารณาความจริงโดยมีเป้าหมายเพื่อนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ มาตรการตัดสินความจริงจึงต้องยึดหลักการนำไปปฏิบัติหรือการนำไปใช้เป็นประโยชน์เป็นหลัก
2.3.4 ประเภทของความรู้
จากการได้พิจารณาธรรมชาติและมาตรการตัดสินความจริงในเบื้องต้น ทำให้เราแยกประเภทของความรู้ได้สี่ชนิด กล่าวคือ
ก. ความรู้ตามเนื้อหาของข้อเท็จจริง (Matters – of – fact)
ได้แก่ความรู้ที่ขึ้นกับประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก เนื้อหาความรู้จึงออกมาในรูปแบบของการพรรณนา การให้ข้อมูล อาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในฐานะเป็นที่มาของความรู้และมาตรการตัดสินความจริง เราสรุปได้ว่าความรู้ประเภทนี้อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์
ข. ความรู้ตามเนื้อหาของตรรกะ (Matters – of – logic)
ได้แก่ความรู้ที่ขึ้นกับเหตุผลของมนุษย์ มีเนื้อหาออกมาในรูปของการนิยามว่าสอดคล้องตรงกันหรือไม่ อาศัยการวิเคราะห์เชิงตรรกวิทยา ด้วยการพิจารณาความคิดหรือมโนภาพของสิ่งนั้น
ค. ความรู้ตามเนื้อหาของการประเมินค่า (Matters – of – appraisal)
ได้แก่ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการตัดสินคุณค่าในด้านศีลธรรม การเมือง การศึกษาและความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่เราใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอันนำมาซึ่งการตัดสินคุณค่าในด้านต่าง ๆ (มีการนำความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและตรรกะมาเป็นองค์ประกอบด้วย)
ง. ความรู้ตามเนื้อหาของความเชื่อ (Matters – of – faith)
ได้แก่ความรู้ทางศาสนาที่มีพื้นฐานบนความเชื่อศรัทธาภายในจิตใจของแต่ละบุคคลต่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาอาศัยการเป็นพยานของบุคคลในอดีตที่มีประสบการณ์แห่งความเชื่อและอุทิศตนต่อความเชื่อนั้น
2.3.5 โครงสร้างของความรู้และความจริงของศาสนา
จากการนำเสนอดังกล่าวข้างต้น จึงพอที่จะสรุปเป็นโครงสร้างความรู้และลักษณะของความจริงในศาสนาได้ดังนี้ (Williamson, 1976)
ก. โครงสร้างตามประเภทและลักษณะของความรู้
Knowledge
Universal Personal
Matters of Fact Matters of Logic Matters of Appraisal Matters of Faith
Empirical Analytical Valuational -Metaphysical/Theological
Descriptive Relation of Idea Prescriptive Authoritative
A posteriri A priori
Purpose: Purpose:
Describes/information Orders human experience Makes a value belief as fact
by logical rules and judgement on regardless
relation ideas. human affairs. of verification.
Depends on: Depends on:
Senses Reason Attitudes Convictions/Influence
Religious Orientation
Religious Interpretation
Perceptual Knowledge Conceptual Knowledge Judgmental Knowledge Religious Knowledge
ข. ลักษณะของความจริงในศาสนา
1) ความรู้ในศาสนามีลักษณะเป็นความจริงส่วนบุคคล โดย
1.1) เป็นความรู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ
1.2) ที่มาของความรู้คือ Authoritative
1.3) เป็นความรู้ที่มีจุดมุ่งหมายคือ การเป็นผู้มีความเชื่อในหลักการของศาสนา
1.4) เป็นความรู้ที่ขึ้นกับการเปิดตนเองสู่โลกแห่งศาสนา (การเปิดตัว/การตีความ)
1.5) การพิสูจน์ความรู้อาศัยความเชื่อส่วนบุคคลและการอุทิศตนต่อความเชื่อนั้น ด้วยการปฏิบัติตามวิถีแห่งชีวิตทางศาสนา
ตัวอย่างเช่น การกล่าวว่า “พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า” เป็นความจริงในศาสนาคริสต์ หรือการกล่าวว่า “องค์ทะไลลามะ ผู้เป็นประมุขทางศาสนจักรและอาณาจักรของทิเบต เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์” อันเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ (Matters of faith) เป็นความจริงที่เหนือธรรมชาติที่รับรู้และพิสูจน์ความจริงดังกล่าว อาศัยความเชื่อ เป็นต้น
2) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความจริงทางศาสนาจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ก็มีความสัมพันธ์และอาศัยข้อเท็จจริงและตรรกะ (Matters of fact/logic) เป็นองค์ประกอบเพื่อช่วยให้เข้าใจความจริงทางศาสนามากยิ่งขึ้น เนื่องจากความจริงในศาสนามีเนื้อหา (ในรายละเอียด) ที่สามารถอธิบายและพิสูจน์ได้ในระดับข้อเท็จจริงและตรรกะ เช่น
2.1) พระเยซูเจ้าเป็นชาวยิว หรือ ขงจื้อเป็นชาวรัฐลู้ ....เราสามารถอธิบายและพิสูจน์ได้อาศัย Matters of fact
2.2) พระเยซูเจ้าสอนว่า “จงรักศัตรู..” หรือ ขงจื้อสอนให้เคารพบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ .... เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักทางศีลธรรม/วิถีปฏิบัติของพระเยซูเจ้า/ขงจื้อที่สามารถอธิบายและพิสูจน์ได้ด้วยการพิจารณานิยามและคำจำกัดความเกี่ยวกับคำสอนของพวกท่าน (Matters of logic)
3. ศาสนาจากมุมมองของผู้นับถือศาสนา
เมื่อเราได้พิจารณาถึงการอธิบายกำเนิดศาสนา ตามแนวทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ หรือการอธิบายกำเนิดของศาสนาตามแนวปรัชญาปฏิฐานนิยม และสสารนิยมปฏิพัฒนาการ ผู้มีความเชื่อศรัทธาในศาสนาอาจรู้สึกแปลก ๆ กับการอธิบายดังกล่าว ในฐานะที่ทฤษฏีทางสังคมศาสตร์ และแนวคิดของนักปรัชญาทั้งสองแนวดังกล่าว มีลักษณะเป็นการอธิบายของ “คนนอก” ที่ใช้บริบทของสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาอธิบายเฉพาะ “ข้อเท็จจริง” หรือ “สิ่งที่ปรากฎ” ของศาสนา มีผลทำให้ภาพของศาสนาจะออกมาแตกต่างกันระหว่างคนที่ไม่เชื่อถือศาสนา (“คนนอก”) กับคนที่เชื่อถือในศาสนา (“คนใน”) (สมภาร, 2546) ซึ่งเข้าใจว่าศาสนาคือศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่มีธรรมชาติของตนในการแสวงหาความจริง และจากการที่เราได้พิจารณาความจริง/ความรู้ของศาสนาจากมุมมองของปรัชญา ทำให้เราสรุปได้ว่า
3.1 ความจริงทางศาสนาเป็นคนละเรื่องกับความจริงทางวิทยาศาสตร์
ปัญหาเกี่ยวกับความจริง เป็นปัญหาที่มนุษย์ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบมาแต่โบราณ วิวัฒนาการในการพยายามหาคำตอบ ทำให้มีศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งมีธรรมชาติและวิธีการของตนในการแสวงหาคำตอบแตกต่างกันไปตามจุดหมายของศาสตร์นั้น ๆ วิทยาศาสตร์มีจุดหมายอยู่ที่ความจริงเชิงประจักษ์ (Empirical truth) ธรรมชาติและวิธีการ/มาตรการของวิทยาศาสตร์จึงอยู่ในกรอบและพื้นฐานของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (A posteriori)
การที่นักสังคมศาสตร์และนักปรัชญาแนวปฏิฐานนิยม และแนวสสารนิยมแบบปฏิพัฒนาการที่ได้นำเสนอไปข้างต้น พยายามวิเคราะห์กำเนิดของศาสนาโดยยึดกรอบความจริงตามมุมมองของวิทยาศาสตร์ ได้เสนอทฤษฏีกำเนิดศาสนาและความหมายของศาสนาตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้มองว่าความจริงของศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระ โดยนำเสนอว่าความจริงของศาสนามีพื้นฐานอยู่บนความต้องการภายในใจของมนุษย์ที่ “กลวงใน” จึงต้องการที่ยึดเหนี่ยวภายในใจ มนุษย์จึงสร้าง “ภาพจำลอง” อันเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ที่จะเข้าถึงอุดมคติอันสูงส่งบางอย่าง ที่ตรงข้ามกับชีวิตอันเต็มด้วยความทุกข์ในภาวะปัจจุบัน มีความเข้าใจว่าอุดมคติที่สูงส่งนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์จินตนาการ เสริมเติมแต่งขึ้นมาและถ่ายทอดให้ยึดถือสืบกันมา ตามแนวคิดของนักปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx, ค.ศ. 1818 – 1883) ซึ่งนำแนวคิดของฟ็อยเออร์บัคไปพัฒนาต่อ และได้วิจารณ์ความจริงทางศาสนาว่าเป็นเหมือนกับยาเสพติด หรือแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud, ค.ศ. 1856 – 1939) ที่เสนอว่าความจริงทางศาสนาเป็นการชดเชยปมด้อยภายในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ จนนำสู่การสรุปในทำนองที่ว่าความจริงทางศาสนา (อาจ) ไม่มีอยู่จริง ๆ แต่มาจากการที่มนุษย์สร้างขึ้นและสะท้อนถึงความคิดของมนุษย์นั่นเอง เป็นต้น เป็นการนำความจริงของศาสนาไปอยู่ระดับเดียวกับความจริงของวิทยาศาสตร์ที่มีเนื้อหาอยู่บนข้อเท็จจริง (Matters -of - fact)
3.2 ความจริงทางศาสนาเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจ
ความจริงทางศาสนาไม่ใช่ความจริงแบบวิทยาศาสตร์ จึงไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความจริงทางศาสนาเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจ โดยมี “ความเชื่อภายในจิตใจ” เป็นพื้นฐาน ซึ่งแม้ว่าเราจะเข้าใจได้ไม่ชัดเจน (หรือฟันธง) แบบวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเราใช้ “จิตใจ” เข้าสู่ความจริงทางศาสนา เราจะพบความจริงที่สวยงามและทำให้ชีวิตของเราสงบสุข (อิ่มอกอิ่มใจ)
3.3 ความจริงทางศาสนา เป็นข่าวดีที่เปลี่ยนวิถีชีวิต
แม้ว่าเราไม่สามารถระบุชัดเจนเกี่ยวกับความจริงทางศาสนาว่าอยู่ที่ไหน หรืออธิบายได้ครบถ้วน (ได้คำตอบแน่นอนตายตัวและเอาไปใช้ได้เลยแบบวิทยาศาสตร์) แต่ความจริงทางศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างจริงจัง ความจริงทางศาสนาจึงเป็นดัง “ข่าวดี” ที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ดังเช่นวิถีชีวิตของ “องคุลีมาร” ในพระพุทธศาสนา และนักบุญออกัสติน ในคริสต์ศาสนา เป็นต้น
3.3.1 ความจริงทางศาสนาเป็นความจริงของผู้พบความจริงในศาสนา
การที่ความจริงทางศาสนามีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์ได้นั้น ก่อนอื่นหมดต้องเริ่มต้นจาก “การเข้าถึง/บรรลุถึง” ความจริงทางศาสนา หรือที่เรียกว่า “โลกทางศาสนา” (Religious world) ซึ่งมีเป้าหมาย อุดมคติและวิธีมองโลกและชีวิตที่เป็นแบบเฉพาะของตนเอง ผู้ที่บรรลุหรือเข้าถึงความจริงในโลกแห่งศาสนา ผู้นั้นจะพบว่าสิ่งที่ตนค้นพบเป็นความจริงโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เพราะความจริงในศาสนาจะมีความชัดเจนแก่ผู้ค้นพบหรือบรรลุถึงความจริงโดยปริยาย
3.3.2 ความจริงทางศาสนา เป็นคำตอบและพลังชีวิต
การค้นพบหรือเข้าถึงความจริงทางศาสนา ทำให้ความเชื่อและทัศนคติของบุคคลนั้นๆ เปลี่ยนแปลง โดยมีพื้นฐานจากการค้นพบตนเองตามธรรมชาติที่ตนเป็นอาศัยความจริงทางศาสนา ดังที่วิลเลี่ยม เจมส์ (William James, ค.ศ. 1842 - 1910) นักปรัชญาชาวสหรัฐฯ ลัทธิปฏิบัตินิยม (Pragmatism) กล่าวว่า “เราไม่อาจเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ได้ ถ้าไม่มีหลักการทางศาสนา” (Giorgio, 1969: 2) และเมื่อมนุษย์ค้นพบธรรมชาติของตนเองแล้ว มนุษย์จะพบว่าตนเองมีศักยภาพและสามารถเพิ่มพูนศักยภาพหรือพลังภายในชีวิตของตน อาศัยความจริงทางศาสนาเป็นหลักการของวิถีชีวิต เพื่อบรรลุถึงความจริงทางศาสนาอย่างสมบูรณ์
4. คุณค่าของศาสนา : การมุ่งสู่ความเป็นจริงสูงสุด/ความรอดพ้น
หลังจากได้วิเคราะห์คุณค่าของศาสนา ด้วยการพิจารณาหลากหลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องในฐานะที่ศาสนาเป็นสถาบันและมีอยู่จริงในสังคม ด้วยมุมมองของนักสังคมศาสตร์และนักปรัชญาที่นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาพิจารณาความจริงของศาสนา การนำเสนอทัศนะเชิงญาณวิทยาในการแยกประเภทและอัตลักษณ์ของการรู้ความจริงของมนุษย์ รวมทั้งการพิจารณาในบริบทของผู้นับถือศาสนา นำสู่การสรุปคุณค่าของศาสนา ดังต่อไปนี้
4.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของศาสนา
สิ่งที่ศาสนาสนใจคือ “จิตใจ” ที่ลึกลับซับซ้อนในตัวมนุษย์ ศาสนาสอนว่าชีวิตมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง แต่ชีวิตนั้นจะมีคุณค่าเมื่อไปเชื่อมโยงหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้แต่ละศาสนาสอนไม่เหมือนกัน บางศาสนาสอนว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ พระเจ้า บ้างก็สอนว่าเป็นนิพพาน แต่ในความหมายรวมๆ หมายถึง ภาวะที่ยิ่งใหญ่เกินขอบเขตโลกแห่งผัสสะ (Transcendent) ศาสนาทั้งหลายแม้จะสอนต่างกันแต่จุดเน้นเหมือนกัน คือ สอนให้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของ “ความจริงสูงสุด” เป็นนิรันดรภาพ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแท้จริงของชีวิต ศาสนาจึงเน้นเรื่องความเชื่อศรัทธาแห่งจิตใจที่พัฒนาอย่างเป็นระบบ มีโครงสร้าง เป็นสถาบันที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมมนุษยชาติ ซึ่งแยกได้เป็นองค์ประกอบภายนอกและภายในที่เชื่อมโยงสัมพันธ์ต่อกัน
4.1.1 องค์ประกอบภายนอกของศาสนา คือ การแสดงออกในฐานะเป็นสถาบันที่มีอยู่ในสังคม
ในฐานะที่ศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันของสังคม กำเนิดและพัฒนาการตามบริบทของชีวิตในสังคม ศาสนาจึงมีลักษณะทั้งการได้รับและการมีอิทธิพลต่อสังคม รวมทั้งเรื่องจารีต ประเพณี วัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งกฎหมายในสังคม จึงจำเป็นต้องการระบบ โครงสร้างในรายละเอียด เพื่อรักษาอัตลักษณ์ของการเป็นศาสนา เพื่อส่งเสริมให้มีการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาอย่างเคร่งครัดและนำไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในสังคมที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
ดังนั้น องค์ประกอบที่สำคัญประการแรก คือ องค์ประกอบที่แสดงออกมาภายนอกที่เชื่อมโยงกับ “ที่นี่และเวลานี้” (The here and now) ในบริบทของสังคม ศาสนาจึงมีบทบาทและหน้าที่ในการให้บริการแก่สังคม ตามอัตลักษณ์ของตน
4.1.2 องค์ประกอบภายในของศาสนา คือ ความเชื่อมั่นศรัทธาแห่งจิตใจ
แก่นสาระของศาสนา คือ ความตระหนักว่ามนุษย์มีลักษณะพิเศษ “ภายในชีวิตมนุษย์” (The inner life of man) ที่ทำให้มนุษย์สามารถมีความสัมพันธ์หรือสามารถบรรลุถึงความเป็นจริงสุงสุดได้ นี่เป็นพลังภายในที่ทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่น (Believes) หวัง (Hopes) ไว้วางใจ (Trusts) ที่จะดำเนินตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา ไม่ใช่ในแบบเครื่องจักร (Mechanism) แต่ในแบบอุทิศชีวิตจากพลังภายในที่เชื่อมั่น ศรัทธาต่อความจริงที่ศาสนาสอน
ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญที่สุดของศาสนา คือ ท่าทีภายในที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามหลักคำสอน ด้วยความเชื่อศรัทธาส่วนบุคคลที่จะดำเนินตามหลักความจริงที่ศาสนาสอน
4.2 ปัญหาเรื่องการลดทอนคุณค่าของศาสนา คือ การเน้นองค์ประกอบภายนอก จนลืมองค์ประกอบภายในของศาสนา
นักปรัชญาหลายท่านไม่เห็นด้วยที่มองศาสนาในแต่เพียงด้านองค์ประกอบภายนอก (ความเป็นสถาบันในสังคม) เพราะทำให้มนุษย์ยึดติดแต่ “เปลือก” จนลืม “แก่นสาระ” ของศาสนา ทำให้มนุษย์ยึดติดแต่เพียงกรอบ หรือการปฏิบัติตามตัวบทกฎเกณฑ์ จนลืมไปว่าศาสนามีบทบาทในฐานะเป็น “คำตอบชีวิต” ที่เป็นหลักหรือแนวทางเพื่อให้มนุษย์ดำเนินชีวิตเพื่อมุ่งสู่ความจริงสูงสุด อันเป็นเป้าหมายชีวิตอย่างแท้จริง
จึงสรุปได้ว่า คุณค่าของศาสนาคือ คำตอบสู่วิถีชีวิตบนพื้นฐานของความสำนึกตนว่า ชีวิตยังมีคุณค่าและความหมาย แม้ภาวะในปัจจุบันอาจเต็มด้วยความทุกข์ ความเจ็บปวด แต่มนุษย์มีศักยภาพภายใน ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะที่ยิ่งใหญ่ (ความจริงสูงสุด/พระเจ้า/นิพพาน) ที่สามารถทำให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิต (ภาวะ) ที่สมบูรณ์ (นิพพาน) ซึ่งมีลักษณะเป็นอุตรภาพ (Transcendence) อันเป็นความจริง ความดี และความงามสมบูรณ์สูงสุด
5. สรุปประจำบท
ศาสนามีไว้ทำไม มีคุณค่าและความหมายอะไร ในฐานะที่เราศึกษาปรัชญา คงไม่แปลกที่เราจะเริ่มต้นการศึกษาปรัชญาศาสนาด้วยการตั้งคำถามดังกล่าว การศึกษาปรัชญาทำให้เราต้องแยกแยะประเภทและที่มาของความจริง/รู้ในหลายระดับ ได้แก่
- ความจริง/รู้เชิงวิทยาศาสตร์ - Perceptual Knowledge – Matters of fact
- ความจริง/รู้เชิงมโนภาพ – Conceptual Knowledge – Matters of Logic
- ความจริง/รู้เพื่อการตัดสินคุณค่า – Judgmental Knowledge – Matters of appraisal
- ความจริง/รู้เชิงศาสนา - Religious Knowledge – Matters of faith
ซึ่งนำเราสู่การสรุปคุณค่าของศาสนาได้ว่า
5.1 ศาสนา มีคุณค่าและความหมายหรือไม่ อยู่ที่เรายอมรับไหมว่า แม้ว่าความจริงมีหนึ่งเดียว แต่มองได้หลายด้าน ขึ้นกับว่าโจทย์คืออะไร
5.2 แก่นสาระของความจริงทางศาสนา คือการเข้าไปมีความสัมพันธ์ (สัมผัส) กับความจริงสูงสุดในโลกแห่งศาสนาที่เรียกร้องให้เราลด ละ เลิก ตัดสละ “ตัวกู ของกู” เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับความจริงสูงสุด
5.3 ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราได้มีประสบการณ์กับความจริงในศาสนา เราจะสำนึกโดยปริยายว่าความจริงที่เราพบในศาสนา มีคุณค่าและความหมายอะไร
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)